อะเซโรลา เชอร์รี่ วิตามินซีสูงปรี๊ด

อะเซโรลา เชอร์รี่ เป็นไม้พุ่มขนาดใหญ่ สูงประมาณ 6 เมตร ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10 cm ผลของอะเซโลรา เชอร์รี่อาจเป็นผลเดี่ยว หรือเป็นช่อประมาณ 2-3 ลูก มีลักษณะแป้นถึงกลม คล้ายเชอร์รี่ แต่มี 3 หยัก ขนาดกว้างประมาณ 1.25-2.5 cm กลิ่นคล้ายแอปเปิ้ล ผิวบางมัน สีแดง เนื้อชุ่มน้ำสีส้ม รสเปรี้ยว หรืออมเปรี้ยวจนเกือบหวาน ใน 1 ผลจะมี 3 เมล็ด เนื่องจากผลของอะเซโลรา เชอร์รี่มีผิวที่ค่อนข้างบาง จึงทำให้ช้ำง่าย และเสื่อมสภาพเร็ว หลังจากเก็บเกี่ยวแล้วจะเกิดกระบวนการหมักอย่างรวดเร็ว (ประมาณ 3-5 วัน) และถ้าไม่เก็บไว้ในที่อุณหภูมิต่ำ (7 c) จะทำให้เกิดเชื้อราขึ้นได้ง่าย โดยถ้าต้องการเก็บไว้นานๆ ต้องเก็บที่อุณหภูมิต่ำกว่า -12c จึงนิยมนำมาประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมความงามและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ เพื่อผิวขาว หน้าใส เช่น ผงขัดผิว สบู่/เจลล้างหน้า คอลลาเจน หรือเป็นส่วนผสมในครีมและเครื่องสำอางต่างๆ เป็นต้น

อะเซโลรา เชอร์รี่เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ คือ วิตามินซี มีโปรตีนและแร่ธาตุสูงโดยเฉพาะ เหล็ก ฟอสฟอรัส แคลเซียม และมีสาระสำคัญตัวหนึ่งชื่อ trans-beta-carotene ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถเสริมภูมิต้านทานของร่างกาย มีปริมาณของไขมันอิ่มตัว และโซเดียมต่ำ ไม่มีคลอเลสเตอรอล และจากผลการวิจัยพบว่า อะเซโรลา เชอร์รี่ มีปริมาณวิตามินซีสูงกว่าที่พบในส้มถึง 30-80 เท่า

เนื่องจากมีวิตามินซีสูง จึงมีคุณประโยชน์มากมาย อาทิ เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ และช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่ถูกทำลาย ช่วยป้องกันเซลล์ไม่ให้เสื่อมตัวเร็ว ช่วยให้ผิวหน้า ขาว ใส สุขภาพดี ช่วยในการสังเคราะห์คอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนจำเป็นสำหรับเนื้อเยื่อที่ผิวหนัง ช่วยป้องกัน และรักษาเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ ลดรอยหมองคล้ำ ฝ้า กระ รอยด่างดำตามร่งกาย ช่วยให้ผิวชาวขึ้น ผิวพรรณสว่างสดใส ขาวใสได้ต่อเนื่องยาวนาน อะเซโลรา เชอร์รี่มีวิตามินซีสูงมาก จึงมีการปลูกเป็นอุตสาหกรรม เพื่อนำมาผลิตวิตามินซีในรูปแบบต่งๆ เช่น ผง เม็ด แคปซูล น้ำผลไม้ เป็นต้น อะเซโลรา เชอร์รี่นับเป็นผลไม้ที่คู่ควรกับสาวๆ อย่างยิ่ง

11 ประโยชน์ของ Acerola Cherry
อะเซโรลาเชอร์รี่มีประโยชน์เป็นอย่างมากต่อผิวพรรณของผู้บริโภค ดังต่อไปนี้

1. เร่งสร้างเสริมคอลลาเจน และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคอลลาเจน

เนื่องจากอะเซโรลาเชอร์รี่อุดมไปด้วยวิตามินซีสูง จึงช่วยเร่งการสร้างเสริมสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยให้ผิวเต่งตึง จึงทำให้ผิวพรรณดูอ่อนกว่าวัยและทำให้ผิวยังคงกระชับและยืดหยุ่นอยู่เสมอ

จากงานวิจัยหนึ่งที่ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสาร American Journal of Nutrition แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงที่มีอายุเกิน 40 ปี และบริโภควิตามินซีปริมาณสูงในการรับประทานอาหารทุกวันจะมีโอกาสเกิดรอยเหี่ยวย่นใบหน้าได้น้อยกว่าผู้หญิงอายุเท่ากันที่บริโภควิตามินซีในปริมาณที่น้อยกว่า

นักกำหนดอาหาร โจ ทราเวอร์ (Jo Travers) กล่าวว่า วิตามินซีเป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่อการก่อตัวของคอลลาเจน หากไม่มีแล้ววิตามินซีแล้ว… กรดอะมิโนจะไม่เชื่อมโยงกันจนเกิดเป็นคอลลาเจนได้

2. ทำหน้าที่เป็นตัวสมานผิว พร้อมลดเลือนริ้วรอย

ประโยชน์อีกอย่างประการหนึ่งของอะเซโรลาเชอร์รี่ต่อผิวหนังคือเป็นตัวช่วยลดเลือนริ้วรอยต่างๆ บนผิวหนัง เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง และกระทั่งช่วยในเรื่องระบบทางเดินอาหารได้ นอกจากนั้น น้ำจากเชอร์รี่ดังกล่าวสามารถใช้เป็นยาน้ำป้วนปากที่ทำลายหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลชีพได้อีกด้วย

3. ปกป้องผิว

การบริโภคอะเซโรลาเชอร์รี่เป็นประจำจะช่วยทำให้ผิวของคุณจะได้รับการปกป้องจากตัวทำให้เกิดความตึงเครียด จากสารเคมี (Chemical Stressor) อย่างควันบุหรี่ มลพิษ และสารที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้

ต่อต้าน ต่อสู้ ฟื้นฟู ซ่อมแซม ปัญหาผิว

4. เร่งการฟื้นฟูสภาพผิว

อีกทั้ง อะเซโรลาเชอร์รี่สามารถช่วยเร่งการฟื้นฟูซ่อมแซมบาดแผล แผลไฟไหม้ แผลเป็น และกระทั่งรอยแตกลายได้ด้วย

5. ต่อสู้กับการเสื่อมสภาพของผิว

ไบโอฟลาโวนอยด์เป็นส่วนสำคัญในการชะลอการเสื่อมสภาพของผิวออกไป ส่วนองค์ประกอบอื่นๆ ยังช่วยต่อสู้กับรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ริ้วรอยร่องตื่น รอยตีนกา รอยใต้โหนกแก้ม จุดด่างดำ รอยหมองค้ำ ฯลฯ

6. ต่อต้านอนุมูลอิสระ

วิตามินซีที่มีอยู่มากใน Acerola Cherry ยังทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะช่วยปกป้องผิวหนังของคุณจากการถูกทำลายได้ เนื่องจากอนุมูลอิสระเหล่านี้เป็นโมเลกุลที่ไม่เสถียรทำให้ผิวหนังอ่อนแอลงและถูกทำลายในที่สุด อีกทั้ง อนุมูลอิสระเหล่านี้สามารถนำไปสู่การเจ็บป่วยและโรคเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้

7. ซ่อมแซมเซลล์ผิวเสีย

อะเซโรลาเชอร์รี่ยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 และบี 3 ซึ่งทั้งหมดช่วยทำให้ผิวสวยงามและเปล่งปลั่งยิ่งขึ้น

  • วิตามินเอช่วยให้ผิวหนังสามารถต่อสู้กับรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าที่ทำให้เกิดผิวเสียได้
  • ส่วนวิตามินบี — บี 1 บี 2 บี 3 — จะช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหาย
  • วิตามิน บี 5 ใน อะเซโรล่าเชอร์รี่ ยังช่วยลดระดับคอสเลสเตอรอล ซึ่งในระยะยาวช่วยลดโอกาสในการเป็นโรคหัวใจได้

8. ทำให้ผิวขาวขึ้น

หากคุณบริโภคอะเซโรลาเชอร์รี่เป็นประจำ จะพบว่าผิวของคุณจะขาวขึ้น กระจ่างใสขึ้น และมีโทนสีผิวดีขึ้นโดยไม่ทำให้โทนสีผิวผิดเพี้ยนไปและเกิดรอยตำหนิขึ้นมา อีกทั้ง ผิวที่เกิดจากการสร้างเม็ดสีมากผิดปกติอย่างกระและจุดเม็ดสีที่มีสาเหตุจากวัยจะมีสีที่สว่างขึ้นตามโทนสีผิวของคุณ ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้ผิวพรรณของคุณมีสุขภาพดีขึ้นตามธรรมชาติ

9. ปกป้องจากรังสียูวีที่เป็นอันตรายต่อผิว

ประโยชน์ต่อผิวหนังอีกประการหนึ่งของอะเซโรลาเชอร์รี่ คือ สามารถปกป้องคุณจากรังสียูวีได้ โดยปริมาณวิตามินเอในอะเซโรลาเชอร์รี่จะช่วยปกป้องผิวหนังของคุณจากรังสีจากดวงอาทิตย์ที่เป็นอันตรายได้ เพราะหากคุณสัมผัสกับรังสียูวีมากจนเกินไปจะทำให้ผิวเสีย ซึ่งในกรณีเลวร้ายที่สุดนั้นจะนำไปสู่มะเร็งผิวหนังที่ไม่มีต้องการให้เกิดขึ้นได้

10. ทำให้ผิวชุ่มชื้น

สารอาหารต่างๆ มากมายในอะเซโรลาเชอร์รี่จะช่วยทำให้ผิวหนังของคุณอิ่มน้ำและคงความชุ่มชื้นไว้ได้ ไม่ว่าผิวของคุณจะเป็นประเภทใดก็ตาม

สุขภาพและสภาพของผิวหนังนั้นขึ้นกับความชุ่มชื้นเป็นหลัก หากผิวหนังไม่ได้รับน้ำอย่างเพียงพอแล้ว กระบวนการต่างๆ ทางธรรมชาติของผิวอย่างการผลัดเซลล์ผิวผิดปกติไป และอาจนำไปสู่สภาพผิวที่อักเสบได้

ผิวหนังของคนเราทำหน้าที่เป็นกำแพงป้องกันร่าวกายจากการติดเชื้อต่างๆ หากผิวแห้งจนเกินไปจะเกิดการแตก ทำให้แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ตามผิวหนังสามารถเข้าสู่ร่างกายและก่อให้เกิดการติดเชื้อได้

นอกเหนือไปจากนี้ การทำให้ผิวอิ่มน้ำอยู่เสมอครับจะเป็นประโยชน์ต่อคุณในระยะยาว โดยเมื่อคุณมีอายุมากขึ้น การเสื่อมสภาพของผิวอาจน้อยกว่าที่ควรจะเป็นเนื่องจากคุณได้เติมความชุ่มชื้นให้กับผิวไว้ในช่วงที่อายุยังน้อยนั่นเอง

11. จัดการกับสิ่วและปัญหาผิวหนังอื่นๆ

ปัญหาส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับผิวอย่างสิว โรคสะเก็ดเงิน และผิวหนังอักเสบนั้นมักเกิดจากผิวหนังขาดวิตามินซีทั้งสิ้น แต่ด้วยอะเซโรลาเชอร์รี่มีวิตามินซีตามธรรมชาติสูง การบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีนี้ตามปกติจะช่วยให้คุณไม่ต้องเจอกับปัญหาที่เกี่ยวกับผิวหนังเหล่านั้นอีกต่อไป

วิตามินซียังมีประสิทธิภาพในการกำจัดสิวและแผลเป็น เพราะมันช่วยเร่งกระบวนการสมานแผลและการลดรอยแดงของร่างกาย และวิตามินซีนี้ยังช่วยลด Cortisol ฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความเครียด ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิวอีกด้วย

แล้วคุณจะบริโภคอะเซโรลาเชอร์รี่ได้อย่างไร ?

ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าอะเซโรลาเชอร์รี่มีคุณประโยชน์ต่อผิวพรรณมากมายเพียงใด แต่คำถามคือบริโภค อะเซโรล่าเชอร์รี่ จากแหล่งไหนถึงได้ประโยชน์สูงสุดต่อร่างกาย ?

หนทางเดียวที่จะมั่นใจว่าคุณจะได้รับสารอาหารทั้งหมดจากอะเซโรลาเชอร์รี่ คือ ต้องกินสดๆ โดยที่คุณจะต้องกินผลเชอร์รี่สดใหม่โดยเร็วเพราะมันจะเสื่อมคุณค่าในอย่างรวดเร็วหลังการเก็บเกี่ยว

แต่ที่โชคร้ายคือ ในเมืองไทยการที่จะหา อะเซโรล่าเชอร์รี่ แบบสดๆมารับประทานนั้น ค่อนข้างยาก (ถึงแม้จะเริ่มมีการปลูกในเมืองไทยแล้วก็ตาม)  . . . ดังนั้น หนทางดีที่สุดที่เราสามารถทำได้ คือ รับประทานผลไม้นี้ที่ผ่านการสกัดแปรรูปมาแล้ว อาทิ ในรูปน้ำผลไม้, แคปซูล หรือแบบผง ถึงแม้ว่าการแปรรูปอาหาร แน่นอนว่าคุณค่าทางโภชนาการจะลดลง แต่ประโยชน์ที่ได้รับนั้น ยังถือว่าดีกว่าการบริโภคผลิตภัณฑ์วิตามิน ซีหรือวิตามินแบบอื่นๆ อยู่เป็นอย่างมาก

สุดท้ายนี้ . . .  ถึงแม้ว่ามีผลิตภัณฑ์จากอะเซโรลาเชอร์รี่มากมายอยู่ในท้องตลาด ทั้งในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร น้ำผลไม้ ผง ฯลฯ ขอเพียงคุณเลือกซื้อสินค้าเหล่านั้นจากผู้ขายที่เชื่อถือได้และมีการจัดการและการแปรรูปเชอร์รี่นี้อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่มีการใช้สารเคมี และมี อ.ย. รับรอง ที่สำคัญผลิตหรือบรรจุจากโรงงานที่ผ่านการรับรองมาตราฐาน GMP ก็เพียงพอที่จะมั่นใจได้ว่า จะได้ประโยชน์จาก Acerola Cherry แบบเต็มๆ